Loading...



EPR (Extended Producer Responsibility)

"ความรับผิดชอบที่ยืดหยุ่นของผู้ผลิต"

EPR (Extended Producer Responsibility)
คือข้อบังคับทางกฎหมาย และเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ผลิตสร้างความรับผิดชอบไปยังช่วงต่างๆ ของวงจรชีวิตบรรจุภัณฑ์ ให้ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วให้ถูกต้องตามหลักการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ซึ่งในแต่ละประเทศจะมีระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียม EPR ที่ไม่เหมือนกัน โดยผู้ที่ต้องรับผิดชอบจ่ายค่าธรรมเนียม คือ

ผู้ใช้แพคเกจจิ้ง หรือ เจ้าของผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้สิ่งที่จะสามารถช่วยให้เจ้าของผลิตภัณฑ์ สามารถลดค่าธรรมเนียม EPR ได้คือ

ผู้ผลิตแพคเกจจิ้ง จะต้องใช้วัตถุดิบ ที่ออกแบบมาเพื่อการรีไซเคิล มีสัดส่วนการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตผลิตภัณฑ์ หรือ วัสดุที่ได้รับรองว่าสามารถนำกลับมารีไซเคิลหรือประโยชน์ใหม่ได้

หรืออีกนัยนึงหมายถึง "ความรับผิดชอบที่ยืดหยุ่นของผู้ผลิต" คือ แนวคิดที่ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ที่ตนเองผลิตขึ้น

จนถึงการกำจัดหรือการรีไซเคิลเมื่อผลิตภัณฑ์นั้นหมดอายุการใช้งานแล้ว โดยไม่เพียงแค่รับผิดชอบในช่วงการผลิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขั้นตอนหลังจากการใช้งาน

เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทิ้งขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้หรือของเสียที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
หลักการสำคัญของ EPR
ความรับผิดชอบของผู้ผลิต: ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบไม่เพียงแต่ในการผลิตสินค้า แต่ยังต้องรับผิดชอบในการกำจัดหรือการรีไซเคิลสินค้าเมื่อมันหมดอายุหรือไม่ใช้แล้ว

การลดขยะและส่งเสริมการรีไซเคิล: ผู้ผลิตต้องจัดหาวิธีการหรือระบบที่ช่วยในการเก็บรวบรวมและรีไซเคิลสินค้าหรือวัสดุที่ผลิตออกมา

การส่งเสริมการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ผู้ผลิตต้องพิจารณาออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ง่าย และลดการใช้วัสดุที่เป็นอันตรายหรือยากต่อการกำจัด


การมีส่วนร่วมของภาครัฐและผู้บริโภค: รัฐบาลมักจะมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย กฎระเบียบ หรือมาตรการที่ช่วยสนับสนุนและกระตุ้นให้ผู้ผลิตมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ ขณะที่ผู้บริโภคสามารถมีส่วนร่วมในการส่งคืนผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้ว

ตัวอย่างการนำ EPR ไปใช้
การรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์: ผู้ผลิตสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ เช่น ขวดพลาสติก หรือกล่องกระดาษ ต้องรับผิดชอบในการรวบรวมและนำบรรจุภัณฑ์เหล่านี้ไปรีไซเคิล


ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์: ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ต้องรับผิดชอบในการเก็บรวบรวมและจัดการกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้เมื่อมันหมดอายุการใช้งาน
ประโยชน์ของ EPR
ลดปริมาณขยะ: ช่วยลดการทิ้งขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้

ส่งเสริมการรีไซเคิล: ส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการสะสมของขยะในธรรมชาติ และช่วยประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ

การเกิดขึ้นของ EPR:

EPR มีต้นกำเนิดจาก ยุโรป โดยมีการนำแนวคิดนี้มาใช้ครั้งแรกในประเทศเยอรมนีในปี 1991 ภายใต้ชื่อว่า "Packaging Ordinance"

ซึ่งผู้ผลิตจะต้องรับผิดชอบในการเก็บคืนบรรจุภัณฑ์หลังจากการใช้งาน โดยไม่ต้องให้ภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วต้องถูกนำกลับมารีไซเคิลหรือนำไปกำจัดอย่างถูกต้อง
การใช้ EPR:
1. ยุโรป: หลายประเทศในยุโรป เช่น เยอรมนี สวีเดน และฝรั่งเศสได้นำ EPR มาใช้ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การจัดการขยะพลาสติก และการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์

2. ญี่ปุ่น: EPR ใช้ในกรณีของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้ผลิตจะต้องรับผิดชอบในการเก็บคืนและรีไซเคิลอุปกรณ์ที่หมดอายุการใช้งาน
3. สหรัฐอเมริกา: มีการใช้ EPR ในบางรัฐ เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียในการจัดการกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่

4. ประเทศไทย: ประเทศไทยเริ่มนำ EPR มาใช้ในระดับบางส่วน เช่น ในการจัดการขยะจากบรรจุภัณฑ์และขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยการส่งเสริมให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการรับผิดชอบในการจัดการของเสียจากผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุ
การใช้ EPR ในประเทศไทย:
ในปี 2021 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เริ่มดำเนินการตามนโยบาย EPR

โดยเฉพาะในส่วนของบรรจุภัณฑ์พลาสติก โดยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ต้องรับผิดชอบในการเก็บคืนและรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้แล้ว เช่น ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก และภาชนะบรรจุอาหาร โดยรัฐบาลไทยมีการสนับสนุนภาคเอกชนและผู้ผลิตในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการจัดการขยะ เช่น การให้แรงจูงใจทางการเงินและภาษีเพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตมีส่วนร่วมในการจัดการขยะ แต่ก็ยังไม่ได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เพราะ EPR ในประเทศไทยยังเป็นเพียงการนำร่อง โดยเป็นการปฏิบัติแบบภาคสมัครใจ เพื่อเร่งแก้ปัญหาขยะพลาสติกตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม รวมถึงบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ เนื่องจาก ระบบการจัดการขยะของประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายให้ภาคประชาชนคัดแยกในครัวเรือน อีกด้วย

 



please share with your friends: