รู้หรือไม่ว่าการช้อปปิ้งออนไลน์และการซื้อเสื้อผ้าตามเทรนด์ที่ราคาถูกนั้นเรียกว่า "Fast Fashion"? แฟชั่นตามกระแสนี้มักเกิดจากการตามไอเท็มที่ฮิตหรือดาราใส่ ซึ่งกระตุ้นให้ผลิตเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ด้วยต้นทุนต่ำและราคาเบา ๆ ทำให้คนเลือกซื้อได้ง่าย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นวัฏจักร "ซื้อ-ใส่-ทิ้ง" ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
Fast Fashion ปัจจุบันสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล จากข้อมูล Research and Markets คาดว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดจะสูงถึง 142.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2571 จะเพิ่มเป็น 197.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ท่ามกลางการเติบโตนี้ กลับมีผลเสียต่อโลกอย่างใหญ่หลวง โดยใช้ทรัพยากรน้ำมากถึง 3,000 ลิตรในการผลิตเสื้อผ้าเพียงหนึ่งตัว และการใช้สารเคมีที่ทำลายสิ่งแวดล้อม
กระบวนการผลิตของ Fast Fashion ใช้วัสดุต้นทุนต่ำ เช่น "ไมโครไฟเบอร์" ซึ่งเป็นพลาสติกขนาดเล็กที่ไม่ย่อยสลายในน้ำ ทำให้เข้าสู่มหาสมุทรและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร นอกจากนี้ การผลิตยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล ส่งผลให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม
Fast Fashion ยังเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในประเทศที่แรงงานต้องเผชิญกับค่าแรงต่ำและสภาพการทำงานที่โหดร้าย เช่น กรณีของชาวอุยกูร์ในจีน ซึ่งเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรง
ทางออกคือการปรับเปลี่ยนสู่แนวคิด Sustainability โดยเราสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างวงจรแฟชั่นที่หมุนเวียนได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนนิสัยการช้อปให้ช้าลง เช่น
1. เลือกเสื้อผ้าที่มีคุณภาพ วัสดุรีไซเคิลได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. ซื้อเสื้อผ้ามือสอง ช่วยลดขยะและสนับสนุนสไตล์วินเทจ
3. ดูแลเสื้อผ้าให้ใช้งานได้นาน เช่น ใช้ผงซักฟอกสูตรอ่อนโยน
4. ซ่อมเสื้อผ้าแทนการซื้อใหม่
5. ลอง DIY โดยการ Mix & Match เสื้อผ้าเก่าให้เป็นชุดใหม่
การลดการใช้ Fast Fashion เป็นทางเลือกที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะใส่ใจและปรับพฤติกรรมการแต่งตัวให้เป็นมิตรกับโลกใบนี้